The Power of Input ศิลปะของการเลือก-รับ-รู้
คำนิยมหนังสือ The Power of Input - How to Maximize Learning
------------
ศิลปะของการเลือก-รับ-รู้
ก่อนอื่นต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้สนุกมากครับ เพราะมันตอบปัญหาใหญ่มากของคนยุคนี้คือการที่เรารับสาร รับข้อมูลต่างๆ เยอะมากๆ ทุกวัน
แต่จำนวนมากของ input คือทำไปก็เท่านั้น คือมันหายไป หรือ สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้
ปัญหาของเราตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีข้อมูล แต่เรามีข้อมูลเยอะเกินไป
ทำยังไง เราจะจัดการกับปัญหานี้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ อาการเหนื่อยล้าของรับข้อมูล จะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นหนูในเขาวงกต และยิ่งทำยิ่งเหนื่อยแต่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไร
แต่ความจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ถ้าเรารู้ว่าเรามีเทคนิคในการทำ input ในเวลาอันสั้นที่สุดอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเทคนิคว่าจะยังไงที่จะสร้าง input ที่มีคุณภาพได้ รับเฉพาะของที่จำเป็น และเข้าใจว่าอะไรที่ไม่ต้องทำ
โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่อ่านสนุกและสามารถนำไปใช้งานได้จริง
เป็นอีกเล่มที่ไม่ควรพลาดครับ
คำนิยมโดย
รวิศ หาญอุตสาหะ
บทนำจากหนังสือ
การปฏิวัติ Input คือสิ่งจำเป็นใน ยุคแห่งการระเบิดของข้อมูล
ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเป็นยุคที่งดการทำงานล่วงเวลาและเป็นยุคที่ต้องทำงานให้ได้ผลผลิตสูงสุดการพัฒนาทักษะและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Input คือสิ่งที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้คุณได้อย่างไม่ต้องสงสัย
Input หมายถึงการป้อนหรือซึมซับข้อมูลไม่ว่าจะเป็นจากหนังสือ คน หรืออินเทอร์เน็ต ถ้าจะพูดให้ละเอียดกว่านี้การเช็กอีเมลหรืออ่านเอกสารในการทำงานก็ถือเป็น Input เช่นกัน
ในแต่ละวันคนเราใช้เวลาไปกับ Input มากทีเดียว แต่ทั้งที่ Input ข้อมูลมากมาย เรากลับนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ จำเนื้อหาในหนังสือที่อ่านไม่ได้ สร้างความเปลี่ยนแปลงในการทำงานหรือการใช้ชีวิตไม่ได้...... ผมเชื่อว่ามีคนที่เป็นแบบนี้จำนวนไม่น้อย
คนส่วนมากชอบดูสมาร์ตโฟนขณะโดยสารรถไฟแต่พวกเขากลับมักทำสีหน้าอ่อนล้ามากกว่าที่จะยิ้มแย้มเคยมีข้อมูลหนึ่งรายงานว่า 33% ของผู้ใช้สมาร์ตโฟนมี อาการเหนื่อยล้าจากการใช้สมาร์ตโฟน
ว่ากันว่าข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีเพิ่มขึ้นกว่า 5000 เท่าเมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน และเป็นที่แน่นอนว่าจากนี้ไปข้อมูลที่พวกเราจะได้รับจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยความเร็วสูงจนเข้าสู่ยุคแห่ง การระเบิดของข้อมูล
พูดอีกอย่างเทคนิคการทำ Input แบบเดิม ๆ นั้นใช้เวลามากและยุ่งยากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิด อาการเหนื่อยล้าจากการใช้สมาร์ตโฟน และ อาการเหนื่อยล้าจากการรับข้อมูล
เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากหากเราทุกคนไม่ทำการปฏิวัติ เทคนิคการทำ Input เราก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าตั้งแต่ขั้นตอนการInputข้อมูล และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานอย่างแข็งขันให้ได้ผลผลิตสูงสุด
คนที่ปฏิวัติการทำ Input ได้ในตอนนี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในสังคมสารสนเทศแห่งยุค AI
97% ของการทำ Input เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ !?
จากการทดสอบหนึ่งให้คนจำนวน 175 คนนึก ข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตภายใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้ได้มากที่สุด ผลปรากฏว่าจำนวนเฉลี่ยของข้อมูลที่คนนึกออกมีเพียง 3.9 เรื่องเท่านั้น
หากเราได้รับข้อมูล 20 เรื่องต่อวัน เท่ากับว่าเราได้รับข้อมูลถึง 140 เรื่องต่อสัปดาห์ แต่ข้อมูลที่หลงเหลือในความทรงจำกลับมีเพียง 4 เรื่องหรือเท่ากับ 3% เท่านั้น
เทคนิคการทำ Input ของคุณเป็นการ ใช้เวลาอย่างไร้ค่าที่สุด ที่ไม่ก่อให้เกิดผลอะไรเลยหรือเปล่าครับ ?
เทคนิคการทำ Input จาก จิตแพทย์ผู้สร้าง Output มากที่สุดในญี่ปุ่น
ผมเป็นจิตแพทย์ ชื่อชิออน คาบาซาวะครับ เคยมีผลงานเขียนมาแล้ว 30 เล่มและได้ชื่อว่าเป็น จิตแพทย์ผู้สร้าง Output มากที่สุดในญี่ปุ่น ผมขอแนะ Output ของผมดังต่อไปนี้ครับ
e-Magazine ส่งทุกวันเป็นเวลา 14 ปี
Facebook โพสต์ทุกวันเป็นเวลา 9 ปี
YouTube อัพโหลดทุกวันเป็นเวลา 6 ปี
เขียนหนังสือทุกวัน วันละ 3 ชั่วโมงขึ้นไปเป็นเวลา 1 ปี
มีผลงานหนังสือปีละ 2-3 เล่มติดต่อกันเป็นเวลา 11 ปี
เปิดสัมมนาใหม่ ๆ ทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้งขึ้นไปติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี
และ Input ที่ส่งเสริมให้ผมทำ Output เหล่านี้ได้ก็คือ
อ่านหนังสือ (เฉพาะในเวลาว่าง) 20-30 เล่มต่อเดือน
ใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 30 นาทีต่อวัน
รวบรวมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต 15-20 นาทีต่อวัน
หนังสือ The Power of Output ศิลปะของการปล่อยของ ที่ผมเขียน ซึ่งวางขายในเดือนสิงหาคม ปี 2018 เป็นหนังสือขายดีที่ขายได้กว่า 4 แสนเล่ม (จากข้อมูลในเดือนสิงหาคม ปี 2019)
หลังจากนั้นก็มีหนังสือเกี่ยวกับ Output วางขายตามร้านหนังสือมากมาย เช่น วิธีเขียน วิธีพูด เทคนิคการจดโน้ต เกิดเป็นปรากฏการณ์ Output บูมไปทั่วประเทศญี่ปุ่น
คนส่วนใหญ่หันมาเห็นความสำคัญของ Output แต่จริง ๆ แล้ว Input กับ Output เป็นเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน เหมือนรถที่ต้องมีล้อทั้งด้านซ้ายและขวา ไม่อาจขาดด้านใดด้านหนึ่งไปได้
คนที่ Input ไม่แข็งแรง ต่อให้พยายามทำ Output แค่ไหน ก็ทำได้แต่ Output ที่ไม่แข็งแรง
ผมอยากให้คนหันกลับมามอง Input ของตัวเอง เพื่อพัฒนาตนเองด้วยการทำ Output ให้ได้แม้เพียงคนเดียวก็ยังดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงใช้เวลาราว 1 ปีหลังจากที่หนังสือ The Power of Output ศิลปะของการปล่อยของ ออกวางจำหน่ายเพื่อเขียนหนังสือ The Power of Input ศิลปะของการเลือก-รับ-รู้ ขึ้นมา
ผลจากประสบการณ์และการพิสูจน์กว่าหลายหมื่นชั่วโมงทำให้ผมสร้าง เทคนิคการทำ Input เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำ Output ขึ้นมาได้ และผมจะอธิบายถึงทั้งหมดนั้นในหนังสือเล่มนี้
ผมหวังว่าทุกท่านจะพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ