สร้อยข้อมือเงินแท้ รุทรักษะ หรือน้ำตาพระศิวะ สลับเงินแท้และกะลาตาเดียว ปลุกเสกแล้ว วัดศีรษะทอง (วัดพระราหู) NSSV2046
สวมใส่เพิ่มหรือเสริมมงคล ต้องเส้นนี้เลยค่ะ สร้อยข้อมือ รุทรักษะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ น้ำตาพระศิวะ ร้อยสลับ กะลาตาเดียว (ปลุกเสกแล้วจากวัดศรีษะทอง) และหมุดคั่นเงินแท้ทรงโดนัท ความมงคลเส้นนี้ เต็ม 100 ไปเลยค่ะ
🔴✨ รุทรักษะ หรือเรียกกันว่า น้ำตาพระศิวะ เป็น เครื่องรางคล้ายเมล็ดพุทรา ที่เชื่อว่า ช่วยรักษาสุขภาพ ให้ดีและแข็งแรง เสริมงาน-ความรัก ให้ราบรื่น สำเร็จ
เชื่อกันว่าเมื่อพระศิวะ ทรงเห็นความทุกข์ยากของเหล่ามนุษย์ น้ำพระอัสสุชล(น้ำตา)ขององค์พระศิวะหยดลงมาบนพื้นโลก และเมื่อหยดถึงพื้นดินนั้นก็เกิดเป็นต้นไม้ขึ้น พระศิวะจึงได้อำนวยพรให้กับต้นไม้นั้นโดยให้ถือว่าเป็นต้นไม้มงคลและตั้งชื่อให้ว่าต้นรุทรักษะและอำนวยพรให้แก่มนุษย์ที่ได้นำเมล็ดรุทรักษะไปประดับหรือสวมใส่ด้วยความเคารพ ประชากรแห่งวรรณะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย ก็สามารถสวมใส่เมล็ดรุทรักษะได้ตามบัญชาของพระศิวะเทพ คนเหล่านั้นที่ได้สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ กระทำการบูชาต่อพระศิวะและประพฤติดีตลอดชีวิต จะไม่ตกสู่นรกแห่งพระยมราชเลย
พระยมราช ได้มีบัญชาต่อบริวารฑูตของพระองค์ว่า มนุษย์ผู้ใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ” แม้เพียงเมล็ดเดียวไว้บนศีรษะแล้ว มีการเขียน ตริปุนทรไว้บนหน้าผากและมีการท่องสวมมนต์ 5 พยางค์แล้วจะต้องทำความเคารพต่อเขาทันที เขาเหล่านี้เป็นบริวารแห่งพระศิวะเทพ และไม่จับกุมหรือทรมานแต่อย่างใด ตราบนานเท่านานที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ มนุษย์ผู้นั้นจะมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานแห่งเทพเจ้าทั้ง 5 พระองค์ (พระอาทิตย์ พระคเนศ พระแม่ทรุคา พระรุทระ และพระวิษณุเทพ) และเป็นที่ชอบพอรักใคร่ของเทพทั้งมวลด้วยบุคคลใดที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะ จะเป็นที่เมตตาของพระศิวะเทพ ชีวิตจะบังเกิดความผาสุขร่ำรวย เป็นอิสระจากบาปทั้งปวง “และคนผู้ที่ได้สวดมนต์ 5 พยางค์ (โอม นะมัส ศิวาย) ด้วยแล้วนับว่าได้ปฏิบัติอย่างเสร็จสมบูรณ์แห่งโยคะ และนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง
คุณสมบัติเมล็ดรุทรักษะ
1. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะไม่มีไสยเวทย์ ภูตผี วิญญาณร้าย มารบกวน หรือรังควาญ
2. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ เมื่อเสียชีวิตลงในขณะที่สวมใส่รุทรักษะจะไม่ต้องได้รับการคร่ากุม หรือจับกุมโดยยมทูต เพื่อไปรับโทษในนรก
3. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะทำให้มีเรื่องเสียใจหรือเศร้าหมองน้อยลง เสียน้ำตาน้อยลง และหากเมล็ดรุทรักษะยิ่งมีขนาดเล็กลงเท่าใด ก็จะยิ่งจะทำให้เสียน้ำตาน้อยลงเท่านั้น
4. ผู้ที่สวมใส่รุทรักษะ จะสามารถรักษาสุขภาพ ให้ดีและแข็งแรงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคที่ ทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายเด็ดขาดหรือให้ข้อสรุปที่ชัดเจนได้
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเนื้อหาสาระนี้ค่ะ: โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์
สร้อยข้อมือกะลาตาเดียว
ปลุกเสกแล้ว จากวัดศีรษะทอง (วัดพระราหู) เจ้าตำรับ พระราหูอมจันทร์
The Single Eye Coconut Shell
คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวเป็นวัตถุที่มีอาถรรพ์ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง จึงนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาแกะเจาะรู เพื่อติดตัวใช้สำหรับเดินทางเข้าหาอาหาร ไว้สำหรับป้องกันภัยร้ายต่างๆที่จะมาถึงตัว ส่วนกะลาทั้งลูกชาวบ้านมักจะนำไว้บูชาอธิษฐานขอสิ่งต่างๆให้กับครอบครัว ต่อมาเข้าในสมัยสุโขทัย ได้มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวมาเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่า เป็นเครื่องรางของขลัง สามารถป้องกันคุณไสย และภูติผีปีศาจได้ และยังทำให้ผู้ที่มีติดตัวไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย แต่ชาวบ้านบางคนมักนิยมนำไปให้อาจารย์ ที่มีวิชาแก่กล้า ลงคาถาอาคมต่างๆแล้วแต่ผู้ใช้จะชอบ สมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่ากัน ยังมีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวเป็นเครื่องรางของขลัง และใช้ตักข้าวสาร เวลาหุงข้าว เชื่อกันว่าจะทำให้มีข้าวกินไม่มีอดอยากตลอดชีวิต ส่วนข้าราชการที่ทำงานสมัยกรุงศรีอยุธยามักจะนำกะลาตาเดียวมาแขวนคอติดตัวไปทำงานด้วย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทางยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นใหญ่เป็นโตกว่าคนอื่น
ส่วนทหารที่ออกศึกก็มักจะนำไปให้อาจารย์ที่มีวิชาลงคาถาอาคมกำกับ เพื่อให้ตนออกศึกและชนะรอดกลับมาได้ต่อมากะลาตาเดียว ก็มักจะถูกนำมาแกะเป็นรูปพระราหูไว้ติดสร้อยคอ เนื่องจากหายากขึ้นเรื่อยๆดังจะเห็นได้ในบทประพันธ์เรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ได้มีการแต่งกล่าวถึงเครื่องรางรูปพระราหูเอาไว้เช่นกันว่า นางระเวงมีเครื่องรางกะลาตาเดียว แกะเป็นรูปพระราหู แขวนติดประจำกายอยู่ และมีคืนหนึ่ง นางระเวงได้นอนหลับมี อ้ายย่องตอด ผู้มีวิชาแก่กล้าทางไสยศาสตร์ ชองจับสัตว์ และคน ดูดเลือดเป็นอาหาร ได้ลอบเข้าไปทำร้ายนางระเวง แต่พอเห็นกะลาตาเดียว ที่แกะเป็นรูปพระราหู ที่แขวนเป็นประจำกายนางระเวง จึงไม่กล้าทำร้ายรีบหนีออกไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประวัติกะลาตาเดียวทั้งลูก ว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก หรือมะพร้าวตาเดียว เอาเนื้อมะพร้าวออกหมดแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูก ที่ไม่มีรอยแตกร้าว จะเป็นที่นิยมของพวก พ่อค้า-แม่ค้า ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา และคู่บ่าวสาวที่แต่งงาน ตลอดจนพวกข้าราชการชั้น เจ้าขุน เจ้าพระยา จะนิยมเก็บไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่ามีไว้ในบ้านแล้ว จะช่วยส่งเสริมบารมี ให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ สูงขึ้นเร็วกว่าคนอื่น และจะช่วยล้างอาถรรพ์ที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้าน ได้เป็นอย่างดี และทำให้มีกินมีใช้ มีเงินมีทองมากขึ้น ไม่รู้จักหมด ส่วนพ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ชาวสวน ที่นำข้าวของไปขายในเมืองและต่างแดน ก็จะถือกะลาตาเดียวไปด้วย ซึ่งจะทำให้ขายดี ให้กำไรอย่างงาม ส่วนคู่บ่าวสาวที่แต่งงานกันในสมัยนั้น ก็มักจะนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ ตัวเมียคู่กัน เก็บไว้ในบ้านจะทำให้อยู่กันมีความสุข ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร จะทำให้ชีวิตครอบครัวอุดม สมบูรณ์ พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานตน มีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ให้แตกแยก เลิกร้างจากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น แล้วใส่ในกะลาตัวผู้ เก็บไว้คู่กันในบ้าน ก็จะรักกันชั่วนิ